วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

การบูรณาการเทคโนโลยี สื่อสู่การเรียนการสอนในศตวรรษที่ 21 โดยใช้ ASSURE Model

                                                                       วินัย ปานโท้

บทนำ

แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้แต่ละประเทศจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลา และเตรียมพร้อมในการเผชิญกับความท้าทายจากกระแสโลก โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายดังกล่าว ได้แก่ คุณภาพของคน การพัฒนาคนให้มีคุณภาพจึงเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง แนวทางหนึ่งคือต้องให้การศึกษากับคนในประเทศของตน และต้องเป็นการศึกษาที่มีคุณภาพ
            การศึกษาในศตวรรษที่
21 เป้าหมายคือเพื่อเตรียมคนออกไปเป็นคนทำงานที่ใช้ความรู้ (knowledgeworker) และเป็นบุคคลพร้อมเรียนรู้ (learning person) ไม่ว่าจะประกอบอาชีพใดคนในศตวรรษที่ 21 ต้องเป็นบุคคลพร้อมเรียนรู้ และเป็นคนทำงานที่ใช้ความรู้ แม้จะเป็นชาวนาหรือเกษตรกรก็ต้องเป็นคนที่พร้อมเรียนรู้ และเป็นคนทำงานที่ใช้ความรู้ ดังนั้น ทักษะสำคัญที่สุดของศตวรรษที่ 21 จึงเป็นทักษะของการเรียนรู้ (learning skills) เป็นการเรียนรู้ที่ ก้าวข้ามสาระวิชาไปสู่การเรียนรู้  “ทักษะเพื่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21” ( 21st Century Skills) นักเรียนต้องเรียนเองหรือพูดใหม่ว่า ครูต้องไม่สอน แต่ต้องออกแบบการเรียนรู้ และอำนวยความสะดวก (facilitate) ในการเรียนรู้ ให้นักเรียนเรียนรู้จากการเรียนแบบลงมือทำ ที่เรียกว่า PBL (Project-Based Learning) การเรียนรู้ก็จะเกิดจากภายในใจและสมองของนักเรียนเอง (วิจารณ์  พานิช, 2555 :18) สอดคล้องตามแนวของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ที่เป็นกระบวนการที่มุ่งให้ผู้เรียนได้คิดเอง ทำเอง ปฏิบัติเอง และสร้างความรู้ด้วยตนเอง ในเรื่องที่สอดคล้องกับการดำรงชีวิต จากแหล่งการเรียนรู้ที่หลากหลาย
         ในหลายต่างประเทศได้นำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการจัดการเรียนรู้ในวิชาต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง และได้มีข้อมูลแสดงยืนยันให้เห็นแล้วว่า เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถช่วยทำให้การจัดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น นักเรียนได้เรียนรู้อย่างสนุกสนาน เพลิดเพลิน ลึกซึ้ง กว้างขวาง และรวดเร็ว ในส่วนของประเทศไทยได้มีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการจัดการเรียนรู้ด้วยเช่นกัน สถานศึกษาทุกระดับมีความตื่นตัวที่จะประยุกต์ใช้นวัตกรรมการศึกษาเทคโนโลยีการศึกษาและสื่อการศึกษารูปแบบต่าง ๆ ให้เกิดประโยชน์ต่อการจัดการเรียนรู้ รวมถึงการดำเนินกิจกรรมโดยใช้สื่อและเทคโนโลยีต่าง ๆ ในด้านการศึกษา แต่ข้อจำกัดในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน ด้านฮาร์ดแวร์และซอฟแวร์ที่มีใช้ในสถานศึกษายังไม่พอเพียง ครูผู้สอนขาดความรู้และทักษะในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (สำนักเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน, 2554 :7-8) แต่อย่างไรก็ตามความเจริญก้าวหน้าของวิทยาการด้านเทคโนโลยีนับวันจะมีจำนวน เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เราจะเห็นได้ว่าทุกวันนี้มีการสร้างสื่อและเผยแพร่ในลักษณะต่าง ๆ มากมายที่เผยแพร่อยู่บนอินเทอร์เน็ตทั้งในรูปของเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ โปรแกรมนำเสนอ เว็บไซต์ และสื่อวีดิทัศน์ ซึ่งครูผู้สอนสามารถนำไปใช้ในการเรียนการสอนได้เป็นอย่างดี โดยไม่จำเป็นต้องเสียเวลาในการผลิตเองเป็นการประหยัดเวลา โจทย์สำคัญจึงอยู่ที่ว่าเราจะมีหลักหรือรูปแบบอย่างไรในการเลือกใช้เทคโนโลยีและสื่อเหล่านั้น
          ในการใช้สื่อและเทคโนโลยีนั้น หากผู้สอนได้มีการวางแผนการใช้อย่างเป็นระบบ จะทำให้มั่นใจได้ว่าการจัดการเรียนการสอนในครั้งนั้นจะมีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้บรรลุตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้ที่กำหนดไว้  The ASSURE Model เป็นรูปแบบของการวางแผนหรือการออกแบบระบบการเรียนการสอนโดยเน้นการใช้สื่อและเทคโนโลยีเป็นองค์ประกอบ โดยเน้นการมีส่วนร่วมของผู้เรียนเป็นสำคัญเป็นรูปแบบที่เหมาะสมกับการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (Smaldio and Other, 2014 p.52) 



ภาพที่ 1 การออกแบบการเรียนการสอน The ASSURE Model
ที่มา : http://nurulnadiaabubakar.wordpress.com/2012/10/12/the-fifth/
          
The ASSURE Model  คืออะไร?
          
          The ASSURE Model  เป็นรูปแบบการออกแบบระบบการเรียนการสอน (Instructional Systems Design) โดยมุ่งที่จะช่วยให้ครูใช้เทคโนโลยีและสื่อในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในชั้นเรียน                 เป็นแนวทางที่จะตรวจสอบ เพื่อให้เกิดความแน่ใจว่าสภาพแวดล้อมการเรียนรู้มีความเหมาะสมกับผู้เรียน           โดยครูสามารถใช้ในการวางแผนเพื่อปรับปรุงการเรียนการสอนของตนและการเรียนรู้ของนักเรียน มีฐานแนวคิดมาจาก กาเย่ (Robert Gagne) และเป็นหนึ่งในรูปแบบการเรียนตามแนวทางของ Constructivism based โดยผู้เรียนจะต้องมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ โดยมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมและเพื่อน และให้ความตระหนักในเรื่องความแตกต่างของลีลาการเรียนรู้ของนักเรียน โดยผู้พัฒนารูปแบบในยุคแรกคือ Heinich and others (1999) และต่อมา Smaldio and Other (2014) ได้เพิ่มในเรื่องของ Technology เพื่อให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ในศตวรรษที่ 21 โดยมีรายละเอียดขั้นตอนการเลือกและ การใช้สื่อ 6 ขั้นตอนดังนี้
          1. การวิเคราะห์ผู้เรียน  (A : Analyze Learners)
          ลำดับแรก เริ่มด้วยการวิเคราะห์ผู้เรียน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญประการแรกที่ครูจำเป็นต้องรู้จักนักเรียนของตนเอง เพื่อที่ครูจะได้เลือกใช้สื่อการเรียนการสอนได้เหมาะสมกับผู้เรียนและบรรลุวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอน การวิเคราะห์จะวิเคราะห์ใน 3 ลักษณะ
             1.1  ลักษณะทั่วไปของผู้เรียน ได้แก่ เพศ อายุ ชั้นปีที่เรียน ระดับสติปัญญา ความถนัด การยอมรับในสังคมเพื่อน ภูมิหลังครอบครัว ฯลฯ เป็นลักษณะที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่จะสอน แต่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาการเลือกใช้สื่อการสอน
             1.2 สมรรถนะเฉพาะของผู้เรียน เป็นลักษณะที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่จะสอน ได้แก่ ความรู้และทักษะพื้นฐานของผู้เรียนในเนื้อหาที่จะเรียน ทักษะการใช้เครื่องมือในการเรียนรู้ของผู้เรียน เช่น ทักษะด้านภาษา คณิตศาสตร์ การอ่าน และการใช้เหตุผล ทัศนคติของผู้เรียนต่อเนื้อหาที่จะเรียน
             1.3 ลีลาการเรียนรู้ของผู้เรียน (learning Style)
          2. การกำหนดมาตรฐานและวัตถุประสงค์การเรียนรู้ (S : State Standards and Objectives)
          การกำหนดมาตรฐานและวัตถุประสงค์การเรียนรู้เป็นการมองไปที่ผลลัพธ์ข้างหน้า ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ ครูต้องกำหนดจุดประสงค์ที่ต้องให้ผู้เรียนบรรลุในการสอนครั้งนั้น ซึ่งต้องสอดคล้องกับตัวชี้วัดและมาตรฐานของหลักสูตร การกำหนดวัตถุประสงค์ต้องชัดเจน โดยใช้หลัก ABCDs of well-stated objective ซึ่งเป็นหลักในการกำหนดวัตถุประสงค์ที่ดีและง่ายที่จะติดตามกระบวนการเขียนวัตถุประสงค์การเรียน ดังนี้
          A : Audience เป็นการมองไปที่ผู้เรียนว่าเมื่อการเรียนการสอนเสร็จสิ้นผู้เรียนจะมีความรู้อะไร และสามารถทำอะไร ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องกำหนดให้ชัดเจน ซึ่งเป็นเป้าหมายของผู้เรียน
         
B : Behavior หัวใจสำคัญคือต้องระบุได้ว่าหากผู้เรียนเกิดการเรียนรู้แล้ว จะแสดงกริยาอย่างใดบ้าง ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถสังเกตได้ทั้งในรูปของพฤติกรรม การปฏิบัติ และเป็นทักษะในโลกของความเป็นจริงในปัจจุบัน
         
C : Conditions จะเป็นในส่วนของเงื่อนไขภายใต้การปฏิบัติการใช้เครื่องมือและด้านสิ่งแวดล้อม
         
D : Degree  จะเป็นการมองในส่วนของเกณฑ์ เช่น การกำหนดเวลา ความถูกต้อง สัดส่วนของการตอบถูก และคุณภาพ หรือมาตรฐาน



ภาพที่ 2 หลักการกำหนดวัตถุประสงค์ ABCDs
ที่มา : http://trainingbydesign.us/Welcome/category/edu623/

3. การเลือกวิธีสอน เทคโนโลยี สื่อและเครื่องมือ (S : Select Strategies, Technology, Media, and Materials)
         
หลังจากที่ได้มีการวิเคราะห์ผู้เรียน กำหนดมาตรฐานและวัตถุประสงค์แล้ว จะช่วยให้เราสามารถเลือกใช้วิธีสอน เทคโนโลยี สื่อและเครื่องมือในการเรียนการสอนได้อย่างเหมาะสม  เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการเรียนการสอน การเลือกสื่อสามารถทำได้ 3 วิธี คือ  1) เลือกจากสื่อที่มีอยู่แล้ว           2) ดัดแปลงสื่อที่มีอยู่แล้วให้ใช้ได้ดีและเหมาะสมมากยิ่งขึ้น และ3) การออกแบบสื่อใหม่ ในขั้นนี้อาจมีการใช้การประเมินคุณภาพของเทคโนโลยี และสื่อที่ใช้ ในลักษณะของเกณฑ์รูบริค ร่วมด้วย

4. การใช้เทคโนโลยี สื่อ และเครื่องมือ (U : Utilize Technology, Media, and Materials)
              ในขั้นนี้จะเกี่ยวข้องกับการวางแผนบทบาทการสอน สำหรับใช้เทคโนโลยี สื่อ และเครื่องมือที่จะช่วยให้นักเรียนบรรลุผลสัมฤทธิ์ในการเรียนตามวัตถุประสงค์ ซึ่งกระบวนการนี้เรียกว่า  “5 Ps” 


ภาพที่ 3 กระบวนการ 5 Ps เพื่อเตรียมความพร้อมการใช้เทคโนโลยี สื่อ และเครื่องมือ
ที่มา
: http://rosaliaaadewi.blogspot.com/2013/05/blog-post_7310.html


จากแผนภาพที่ 3 กระบวนการ5 Ps เพื่อเตรียมความพร้อมการใช้เทคโนโลยี สื่อ และเครื่องมือประกอบด้วย
         
Preview  คือ มีการศึกษามาก่อน เพราะจะช่วยให้ครูผู้สอนสามารถจัดลำดับก่อนหลังในการสอน
         
Prepare Technology , Media, and Materials  คือ การเตรียมเทคโนโลยี สื่อ เครื่องมือ และฝึกการใช้ ในแต่ละลำดับขั้นของบทเรียน)
         
Prepare Environment  คือ การเตรียมสิ่งแวดล้อม ความสะดวกในการใช้เทคโนโลยี สื่อ เครื่องมือ
          Prepare the Learner คือ การเตรียมผู้เรียน ต้องรู้ว่าอะไรคือความต้องการของผู้เรียน ช่วยให้เขาเกิดความมั่นใจ และมีส่วนร่วมในการเรียน
         
Provide the Learning คือ การเตรียมประสบการณ์การเรียน ทั้งในส่วนของครูเป็นศูนย์กลาง และนักเรียนเป็นศูนย์กลางในการเรียน
5. การมีส่วนร่วมของผู้เรียน (R : Require Learner Participation)
             
การเรียนรู้จะเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพที่สุดนั้น ผู้เรียนจะต้องมีปฏิกิริยาตอบสนองและได้รับการเสริมแรง สำหรับพฤติกรรมการตอบสนองที่ถูกต้องอยู่เสมอ เช่น การให้สังเกตไปจนถึงการให้ทำโครงการหรือออกแบบสิ่งของต่าง ๆ การที่ผู้สอนให้ข้อมูลย้อนกลับทันทีต่อการตอบสนองของผู้เรียน จะทำให้แรงจูงใจในการเรียนและการเสริมแรงมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ควรมีการจัดให้มีกิจกรรมที่ให้พวกเขาได้ฝึกหัด ทั้งด้านความรู้ หรือทักษะ และข้อมูลย้อนกลับบนความพยายามก่อนนำไปประเมินผลระหว่างเรียน การฝึกจะเกี่ยวกับการประเมินตนเอง บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน กิจกรรมบนอินเทอร์เน็ต หรือแบบฝึกหัดในลักษณะกลุ่ม  ข้อมูลย้อนกลับสามารถมาจากครู คอมพิวเตอร์ นักเรียนคนอื่น หรือตนเองประเมิน
6. การประเมินผลและปรับปรุง (E : Evaluate and Revise)
             หลังจากที่ได้ปฏิบัติกิจกรรมในบทเรียน สุดท้ายจะเป็นในส่วนของการประเมินผลและปรับปรุง   การประเมินผลกระทบที่ผู้เรียนได้เรียนรู้ การประเมินไม่เพียงแต่เป็นการตรวจสอบความสำเร็จของนักเรียนตามวัตถุประสงค์เท่านั้น แต่จะเป็นการตรวจสอบถึงกระบวนการจัดการเรียนการสอน และผลการใช้เทคโนโลยี และสื่อ ว่ายังมีอะไรบ้างที่ยังไม่บรรลุวัตถุประสงค์ เพื่อจะได้มีการปรับปรุงแก้ไขต่อไปการประเมินสามารถกระทำได้ 3 ลักษณะ คือ
  6.1 การประเมินกระบวนการสอน เพื่อเป็นการประเมินว่าสามารถบรรลุได้ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่ทั้งในด้านผู้สอน สื่อการสอน และวิธีการสอน โดยในการประเมินสามารถทำได้ทั้งในระยะก่อน ระหว่าง และหลังการสอน
             6.2 การประเมินความสำเร็จของผู้เรียน ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ว่ามีเกณฑ์เท่าใด การวัดผลอาจทำได้ด้วยการทดสอบ การสอบปากเปล่า หรือดูจากผลงานของผู้เรียน สิ่งสำคัญที่จะทราบได้ว่าผู้เรียนมีสัมฤทธิผลทางการเรียนมากน้อยเท่าใด คือ สังเกตจากการปฏิบัติและการแสดงออกของผู้เรียนนั้น
              6.3 การประเมินสื่อและวิธีการสอน โดยการให้ผู้เรียนมีการอภิปรายและวิจารณ์การใช้สื่อและเทคนิควิธีการสอนว่าเหมาะสมมากน้อยเพียงใด        

ตัวอย่างการวิเคราะห์และการออกแบบการใช้สื่อตามหลักของ ASSURE MODEL

กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ                               ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1
เรื่อง พยัญชนะภาษาอังกฤษ                                              เวลาเรียน  ชั่วโมง
 มาตรฐานการเรียนรู้
          ต.1.1 เข้าใจและตีความเรื่องที่ฟังและอ่านจากสื่อประเภทต่าง ๆ และแสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุผล
             ตัวชี้วัด  ป.
1/2 ระบุตัวอักษรและเสียง อ่านออกเสียงและสะกดคำง่าย ๆ ถูกต้องตามหลักการอ่าน
          ต.
4.2 ใช้ภาษาต่างประเทศเป็นเครื่องมือพื้นฐานในการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับสังคมโลก
          ตัวชี้วัด ป.
1/1 ใช้ภาษาต่างประเทศเพื่อรวบรวมคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องใกล้ตัว

สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน
          1. ความสามารถในการสื่อสาร
         
2. ความสามรถในการใช้เทคโนโลยี

คุณลักษณะอันพึงประสงค์
          1. มีวินัย          2. ใฝ่เรียนรู้      3. มุ่งมั่นในการทำงาน

สาระสำคัญ
          พยัญชนะภาษาอังกฤษ มีทั้งหมด
26  นักเรียนจำเป็นต้องอ่านออกเสียงพยัญชนะภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้อง เพื่อเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษต่อไป

1. การวิเคราะห์ผู้เรียน  (A : Analyze Learners)
          ลักษณะทั่วไป
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 อยู่ในช่วงวัยเด็ก วัยเริ่มเข้าโรงเรียน มีความสนใจในสิ่งแปลกใหม่  เนื่องจากเลื่อนชั้นขึ้นมาจากชั้นอนุบาล  เด็กในวัยนี้จะชอบลองในสิ่งที่ตนเองไม่เคยทำ  แต่ยังขาดความมั่นใจในตนเอง  กลัวว่าสิ่งที่ตนทำนั้นจะผิดและถูกว่า  ชอบการชมเชยจากผู้ใหญ่  ส่วนเรื่องการเจริญเติบโตนั้น  เป็นการเจริญเติบโตที่ค่อยเป็นค่อยไป  แต่ในเรื่องความจำนั้นเด็กวัยนี้จะมีความจำที่ดี 
ถ้าได้รับสิ่งที่ดีเขาก็จดจำและทำตาม
           ลักษณะเฉพาะ
ทักษะพื้นฐานทางด้านการฟัง การพูด การอ่าน การเขียน  ผู้เรียนยังไม่สามารถพูด  อ่าน  เขียนได้อย่างถูกต้อง  เนื่องจากเป็นการเริ่มต้นของการเรียน  ในด้านทัศนคติของผู้เรียน  ผู้เรียนมีความสนใจที่จะเรียนภาษาอังกฤษเนื่องจากเป็นสิ่งแปลก  ลีลาการเรียนรู้ ผู้เรียนกล้าที่จะสนทนากับผู้สอนเกี่ยวกับบทเรียน เช่นการตั้งคำถาม และการตอบคำถามในบทเรียน

2. การกำหนดมาตรฐานและวัตถุประสงค์การเรียนรู้ (S : State Standards and Objectives)
             จากมาตรฐาน และตัวชี้วัดในหลักสูตร นำมากำหนดวัตถุประสงค์การเรียนในแต่ละครั้ง โดยพยายามเขียนเป็นวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม และครอบคลุมด้านพุทธิพิสัย ทักษะพิสัย และจิตพิสัย เช่น
              1. ระบุตัวอักษรและเสียงพยัญชนะภาษาอังกฤษ จำนวน 26 ตัวได้
              2. ระบุความหมายของคำศัพท์ง่าย ๆ ที่สะกดด้วยพยัญชนะภาษาอังกฤษ ทั้ง 26 ตัวได้
              3. อ่านออกเสียงและสะกดคำง่าย ๆ ที่ขึ้นด้วยพยัญชนะภาษาอังกฤษได้ถูกต้องตามหลักการอ่าน             
              4. สามารถใช้แท็บเล็ตในการเรียนรู้ได้
              5. นักเรียนทำงานที่ได้รับมอบหมายครบทุกภาระงาน

3. การเลือกวิธีสอน เทคโนโลยี สื่อและเครื่องมือ (S : Select Strategies, Technology, Media, and Materials)
           การเลือกสื่อสามารถทำได้ 3 วิธี คือ  1) เลือกจากสื่อที่มีอยู่แล้ว 2) ดัดแปลงสื่อที่มีอยู่แล้วให้ใช้ได้ดีและเหมาะสมมากยิ่งขึ้น และ3) การออกแบบสื่อใหม่
          สื่อประเภทวิธีการที่เลือกใช้ ได้แก่
 การอภิปรายกลุ่ม  การฝึกปฏิบัติ  กิจกรรมเกมและเพลง                 สื่อที่มีอยู่แล้ว   ได้แก่ 
          1) บัตรคำศัพท์ที่ใช้พยัญชะ A-Z                 2) บทเรียน ABC Song จากแท็บเล็ต                
          3) วีดิทัศน์การสอนใน Youtube                 4) หนังสือแบบเรียนภาษาอังกฤษ
          5) แผนภาพเพลง ABC Song
         ดัดแปลงสื่อที่มีอยู่แล้วให้ใช้ได้ดีและเหมาะสม
          1) ถ่ายโอนบทเรียนจากแท็บเล็ตสู่คอมพิวแตอร์เชื่อมต่อ Projector เพื่อนำเสนอให้เห็นภาพได้และเสียงได้อย่างชัดเจน
         
2)  ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน (Apps) ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหามาให้นักเรียนได้เรียนรู้
          การออกแบบสื่อใหม่

           1)  ครูสร้างใบงานใหม่ที่สัมพันธ์กับเนื้อหา และวัตถุประสงค์
          
2)  ครูสรุปเนื้อหาของบทเรียนโดยการนำเสนอสื่อทางคอมพิวเตอร์ผ่านโปรแกรม e-book  
ทั้งรูปภาพและเนื้อหา
  นำเสนอทางจอโทรทัศน์

4. การใช้เทคโนโลยี สื่อ และเครื่องมือ (U : Utilize Technology, Media, and Materials)
              ครูผู้สอนควรได้มีการเตรียมการก่อนการสอน โดยใช้หลัก “5 Ps” ในการเตรียมความพร้อมประกอบด้วย 1) การได้มีการศึกษาเนื้อหามาก่อน 2) การเตรียมเทคโนโลยี สื่อ เครื่องมือ และฝึกการใช้              3) การเตรียมสิ่งแวดล้อม ความสะดวกในการใช้เทคโนโลยี สื่อ เครื่องมือ 4) เตรียมนักเรียน ทักษะการใช้เทคโนโลยีและมีส่วนร่วมในการเรียน และ 5) การเตรียมประสบการณ์การเรียน ทั้งในส่วนของครูเป็นศูนย์กลาง และนักเรียนเป็นศูนย์กลางในการเรียน 
ตัวอย่าง กิจกรรมการเรียนการสอน (สำนักเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน, 2555 : 162-163)
          ขั้นสอน
          1. ครูเปิดเพลง ABC Song จากแท็บเล็ต ให้นักเรียนฟัง 1 ครั้ง
         
2. ครูอธิบายให้นักเรียนฟังว่า ในบทเรียนนี้ นักเรียนจะได้ฝึกร้องเพลง ABC Song จากแท็บเล็ต นักเรียนทุกคนจะต้องฝึกร้องเพลง จำพยัญชนะทั้ง 26 ตัว พร้อมทั้งคำศัพท์ที่ใช้พยัญชะแต่ละตัวให้ได้
         
3. ครูให้นักเรียนเตรียมความพร้อมของแท็บเล็ต เปิดบทเรียนเรื่อง ABC Song ครูอธิบายวิธีการเรียนบทเรียน และเน้นย้ำให้นักเรียนตั้งใจศึกษาบทเรียนด้วยตนเองจากต้นจนจบ มีวินัยในตนเอง และมุ่งมั่นศึกษาบทเรียนในระยะเวลาที่กำหนด และระหว่างการทำกิจกรรม ครูจะประเมินนักเรียนโดยใช้แบบประเมินพฤติกรรมนักเรียน
         
4. เมื่อนักเรียนพร้อมแล้ว ให้นักเรียนจับคู่กับเพื่อนศึกษาเรื่องพยัญชนะภาษาอังกฤษ จากเพลง ABC Song ตั้งแต่หน้าที่ 1-5
          5. ครูให้คำแนะนำนักเรียนที่มีปัญหาเป็นรายบุคคล
         
6. เมื่อนักเรียนศึกษาบทเรียนจบแล้ว ครูให้นักเรียนทุกคนเปิดเพลง ABC Song และร้องเพลงตามบทเรียนพร้อมกัน 2-3 ครั้ง จนทุกคนสามารถร้องเพลงได้ ออกเสียงพยัญชนะ และคำศัพท์ได้ถูกต้อง
         
7. นักเรียนเล่นเกม Touch me โดยแบ่งนักเรียนออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่ม A และกลุ่ม B เมื่อครูอ่านออกเสียงพยัญชนะ นักเรียนแต่ละกลุ่มต้องวิ่งออกไปแตะพยัญชนะที่ได้ยินเสียง กลุ่มใดที่แตะพยัญชนะได้ก่อนและถูกต้อง จะได้คะแนน กลุ่มที่ได้คะแนนมากกว่าเป็นผู้ชนะ
         
8. นักเรียนทำใบงานที่ 1 เรียงพยัญชนะภาษาอังกฤษได้ถูกต้อง

5. การมีส่วนร่วมของผู้เรียน (R : Require Learner Participation)
              การใช้สื่อในการเรียนการสอนแต่ละครั้ง ผู้สอนต้องจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมและกระตุ้นให้ผู้เรียน      มีส่วนร่วมในการเรียนการสอนให้มากที่สุด โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถ ตอบสนองโดยเปิดเผย ( overt respone ) โดยการพูดหรือเขียน และการตอบสนองภายในตัวผู้เรียน ( covert response ) โดยการท่องจำหรือคิดในใจ เมื่อผู้เรียนมีการตอบสนองผู้สอนควรให้การเสริมแรงทันที เพื่อให้ผู้เรียนทราบว่าตนมีความเข้าใจและเกิดการเรียนรู้ที่ถูกต้องหรือไม่ โดยการให้ทำแบบฝึกหัด การตอบคำถาม การอภิปราย หรือการใช้เกม
ตัวอย่าง กิจกรรมการเรียนการสอน (สำนักเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน, 2555 : 164)
          ขั้นสอน กิจกรรมที่ 2 ชั่วโมงที่ 2
         
5.1 เมื่อนักเรียนศึกษาบทเรียนจบแล้ว ให้นักเรียนเก็บแท็บเล็ต จากนั้นเล่นเกมจับคู่คำศัพท์กับรูปภาพ ดังนี้
         
  1) แบ่งนักเรียนเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่ม A และ กลุ่ม B แต่ละกลุ่มจะได้รับซองบัตรคำศัพท์และรูปภาพ จำนวน 26 คู่ โดยเป็นคำศัพท์จากบทเรียน ABC Song
           
2) สมาชิกของแต่ละกลุ่ม จะต้องช่วยกันจับคู่คำศัพท์กับรูปภาพ ให้ถูกต้องภายในเวลาที่กำหนด
         
  3) กลุ่มใดที่เสร็จก่อน และถูกต้องมากกว่า เป็นผู้ชนะ
         
5.2 สุ่มนักเรียนแต่ละกลุ่ม ถามและตอบคำถามจากรูปภาพดังนี้
               นักเรียนคนที่
1 กลุ่ม A ชูรูปภาพแล้วถาม What is this picture?
               นักเรียนคนที่
1 กลุ่ม B ตอบคำถาม  This is a bat.
               และสลับนักเรียนจากกลุ่ม B เป็นผู้ถาม และนักเรียนจากกลุ่ม A เป็นผู้ตอบทำแบบนี้สลับกัน                4-5 คู่
         
5.3 นักเรียนทำใบงานจับคู่คำศัพท์กับรูปภาพ

6. การประเมินผลและปรับปรุง (E : Evaluate and Revise)
              หลังจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแล้ว
 จำเป็นต้องมีการประเมินผลกระบวนการเรียน         การสอนเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ช่วยให้ผู้สอนทราบว่า การเรียนการสอนบรรลุวัตถุประสงค์มากน้อยเพียงใดสิ่งที่ต้องประเมินได้แก่
             1) การประเมินผลกระบวนการเรียนการสอน จะทำให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงและพัฒนาวิธีการสอนและการใช้สื่อการเรียนในครั้งต่อ ๆ ไปให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น วิธีการหนึ่งทำได้โดยการค่าสัมประสิทธิ์การกระจาย  (Co-efficient  variation)  ใช้สัญลักษณ์ทางสถิติว่า  C.V.  เป็นค่าสถิติที่ใช้ในการตรวจสอบประสิทธิภาพการสอน  หมายถึง  การประเมินความสามารถในการสอนของครู  โดยประเมินจากคุณภาพการสอนหรือคุณภาพผู้เรียนตามแผนการจัดการเรียนรู้หรือตามจุดประสงค์การเรียนรู้ในช่วงเวลาที่กำหนดไว้  (กาญจนา  วัฒายุ, 2548 : 116)
                 คุณภาพการสอน  หมายถึง  ลักษณะการสอนของครูที่ปรากฏออกมาในระดับต่าง  ๆ  ได้แก่  ระดับคุณภาพดี  ระดับคุณภาพปานกลาง  ระดับคุณภาพที่ต้องปรับปรุง
การสอนที่มีคุณภาพดีต้องเป็นการสอนที่สามารถทำให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาถึงขีดสูงสุดตามจุดประสงค์การเรียนรู้  เป้าหมาย  หลักการที่หลักสูตรกำหนดไว้ ดังนั้น  หลังจากที่ครูผู้สอนวิเคราะห์ค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน  คะแนนหลังเรียนของผู้เรียนแล้ว  ครูสามารถวิเคราะห์ดูได้ว่า  ผลการสอนของตนมีคุณภาพอยู่ในระดับใด  โดยใช้สูตร  ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)  คูณด้วย  100  หารด้วยค่าเฉลี่ย แล้วนำมาเทียบกับเกณฑ์ ดังนี้ (กาญจนา  วัฒายุ, 2548 : 117)

                                     
                                                               
                        ถ้า ค่า C.V. ต่ำกว่า 10%        หมายถึง  ระดับคุณภาพการสอนดี
            ถ้า ค่า C.V. ระหว่าง 10-15%   หมายถึง  ระดับคุณภาพการสอนปานกลาง
                        ถ้า ค่า C.V. สูงกว่า 15%         หมายถึง  ระดับคุณภาพการสอนต้องปรับปรุง                                                                               
 2) การประเมินสื่อและวิธีการเรียนการสอน เพื่อให้ทราบว่าสื่อและวิธีการสอนที่ใช้มีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด ต้องปรับปรุงแก้ไขหรือไม่ ช่วยให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์เพิ่มขึ้นหรือไม่ การประเมินผลสื่อการเรียนการสอนควรให้ครอบคลุมด้านความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การเรียนการสอน แนวคิดการสะท้อนประสิทธิภาพสื่อการสอนที่นิยมปฏิบัติมี 2 แนวทางคือ
             
2.1) การทดสอบประสิทธิภาพโดยยึดเกณฑ์มาตรฐาน 90/90 (The 90/90 standard) ของ เปรื่อง กุมุท (2519 อ้างถึงใน มนตรี แย้มกสิการ, 2551 : 2)
              2.2) การทดสอบประสิทธิภาพตามเกณฑ์ประสิทธิภาพ E1/E2 ของ ชัยยงค์  พรหมวงศ์ (2520 อ้างถึงใน มนตรี แย้มกสิการ, 2551 : 10)
           3) การประเมินผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน ว่าบรรลุตามวัตถุประสงค์แต่ละข้อที่กำหนดไว้มากน้อยเพียงใด ใน 3 ส่วนคือ ความเข้าใจในเนื้อหาของบทเรียน โดยประเมินจากการสนทนาถามตอบ จากการทำแบบฝึกหัด และจากการทำแบบทดสอบก่อน และหลังเรียน

บทสรุป
ความเจริญก้าวหน้าของวิทยาการด้านเทคโนโลยีนับวันจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เราจะเห็นได้ว่าทุกวันนี้มีการสร้างสื่อและเผยแพร่ในลักษณะต่าง ๆ มากมายที่เผยแพร่อยู่บนอินเทอร์เน็ต ทั้งในรูปของเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ โปรแกรมนำเสนอ เว็บไซต์ และสื่อวีดิทัศน์ ซึ่งบางครั้งครูสามารถนำไปใช้ในการเรียนการสอนได้เป็นอย่างดี โดยไม่จำเป็นต้องเสียเวลาในการผลิตเองเป็นการประหยัดเวลา สำหรับการเลือกใช้เทคโนโลยีและสื่อให้มีความเหมาะสมนั้น ASSURE Model เป็นรูปแบบหนึ่งที่ครูสามารถนำไปใช้เป็นหลักในการบูรณาการเทคโนโลยีสื่อสู่การเรียนการสอนได้เป็นอย่างดี ประกอบด้วย 6 ขั้นตอน ได้แก่ 1) A : การวิเคราะห์ผู้เรียน  2) S : การกำหนดมาตรฐานและวัตถุประสงค์ การเรียนรู้ 3) S : การเลือก วิธีสอน เทคโนโลยี สื่อและเครื่องมือ 4) U : การใช้เทคโนโลยี สื่อ และเครื่องมือ 5) R : การมีส่วนร่วมของผู้เรียน6) E : การประเมินผลและปรับปรุง 

รายการอ้างอิง

กระทรวงศึกษาธิการ. (2546). พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 พร้อมกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง และพระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.).
กาญจนา  วัฒนายุ.(2548). การวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา.  กรุงเทพฯ : ธนพรการพิมพ์.
มนตรี  แย้มกสิการ. (2551). การเลือกใช้เกณฑ์ประสิทธิภาพในงานวิจัยและพัฒนาสื่อการสอน: E1/E2 และ90/90 Standard. วารสารศึกษาศาสตร์ ปีที่ 19 ฉบับที่ 1 (เดือนตุลาคม 2550-มกราคม 2551).
วิจารณ์  พานิช. (2555). วิถีสร้างการเรียนรู้เพื่อศิษย์ในศตวรรษที่21. กรุงเทพฯ : มูลนิธิสดศรีสฤษดิ์วงศ์.
สำนักเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน. (2554). ผลการใช้หลักสูตรบูรณาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อยกระดับการเรียนรู้ในการอบรมศึกษานิเทศก์และครู สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน.  กรุงเทพฯ : สำนักเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน  สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน.
สำนักเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน. (2555).  คู่มืออบรมปฏิบัติการบูรณาการใช้คอมพิวเตอร์พกพา (Tablet)เพื่อยกระดับการเรียนการสอน.  กรุงเทพฯ : สำนักเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน  สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน.
Heinich, R. and others. (1999). Instructional Media and Technologies for Learning.New Jersey : Prentice-Hall, Inc.
Smaldino,  Lowther, Russell . (2014). Instructional Technology and Media for Learning. Boston : Pearson.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น